Welcome to Dear

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

'สุเทพ'ปลุกศุกร์นี้ทุกสายมุ่งราชดำเนิน

นร.หลายสถาบันร่วมอารยะขัดขืนหยุดเรียน 13-15 พ.ย.ร่วมประท้วง 'สุเทพ'ปลุกศุกร์นี้ทุกสายมุ่งราชดำเนิน แดงชุมนุม18-20พ.ย.เมืองทองธานี


             ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 พ.ย.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่า ประชาชนเริ่มทยอยเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้นกว่าในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ส่วนกิจกรรมบนเวทีปราศรัยได้มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ขึ้นปราศรัย อาทิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ส.ส.กทม. โดยการปราศรัยมุ่งคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และโจมตีโครงการประชานิยมของรัฐบาล เช่น โครงการจำนำข้าว
             ทั้งนี้การปราศรัยได้มีการสลับสับเปลี่ยนกับประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเพื่อแสดงออกให้เห็นว่าเวทีราชดำเนินเป็นเวทีของประชาชน โดยมีนักเรียนและนักศึกษาจากหลายสถาบันร่วมแสดงความคิดเห็นและแสดงออกในอารยะขัดขืนโดยการหยุดเรียนตั้งแต่วันที่ 13-15 พฤศจิกายน นอกจากนี้บนเวทีปราศรัยยังมีกิจกรรมการแสดงดนตรีเพื่อให้ความบันเทิงกับประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมอีกด้วย
'สุเทพ'ปลุกศุกร์นี้ทุกสายมุ่งราชดำเนิน             เมื่อเวลา 20.25 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีปราศรัยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยเริ่มจากการพุ่งเป้าโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะเดียวกันยืนยันว่า การชุมนุมที่ถนนราชดำเนินจะไม่มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล หรือรัฐสภา แต่จะใช้ราชดำเนินเป็นที่มั่นจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ดังนั้นความสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับจำนวนประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุม
             นายสุเทพกล่าวอีกว่า เมื่อวานได้บอกการต่อสู้ทั้งหมดต้องจบภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลายคนสงสัยว่าจะจบอย่างไร ถ้าไม่ใช้อาวุธ สู้ด้วยมือเปล่าจะชนะอย่างไร ในประวัติศาสตร์นั้น อินเดียซึ่งถูกอังกฤษปกครองประเทศ แต่มีผู้นำอย่างมหาตมะ คานธี ที่นำประชาชนสู้ด้วยมือเปล่า จนอินเดียได้รับเอกราชมาแล้ว นั่นคือการต่อสู้ด้วยหัวใจ ดังนั้นเมื่อตนอาสามาเป็นแกนนำก็จะถามความเห็นพี่น้องทุกขั้นตอน ทุกระดับของการต่อสู้ โดยคราวนี้ขอนัดวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่เราจะใช้มาตรการอารยะขัดขืนด้วยการหยุดงานเป็นวันสุดท้าย เราจะมาประเมินหัวใจ ประเมินความคิด และจะมาปรึกษากันว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
             "วันศุกร์ต้องคิดเรื่องใหม่ ตัดสินใจทำเรื่องใหม่ใหญ่กว่านี้ เราจึงต้องขอให้พี่น้องออกมาตัดสินใจร่วมกันว่า เราจะทำให้ใหญ่กว่านี้กันอย่างไร ผมขอนัดหมายพี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด จัดกระเป๋าขึ้นรถมาได้แล้ว มาให้ถึงที่นี่วันศุกร์ มาก่อน 6 โมงเย็น ถ้ากลัวว่าลงรถแล้วจะเหงา วันศุกร์นี้รับรองว่าไม่มีเหงา เพราะวันนี้นิสิต นักศึกษา นักเรียน อาจารย์ มาประชุมร่วมกันกับผมและนัดหมายแล้ว วันศุกร์นี้ โรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ จะจัดขบวนพาเหรดเดินมายังราชดำเนิน ผมได้ติดต่อพี่น้องประชาชนทุกเขตของกทม.ว่า ศุกร์นี้จะมีขบวนของประชาชนทุกสายมายังราชดำเนิน ผู้นำชุมชนบางแห่งบอกผมว่าจะเอาขบวนเชิดสิงโตมาเดินนำ บางชุมชนมีวงดุริยางค์ มีกลองยาว รับรองไม่เหงา"
             นายสุเทพกล่าวอีกว่า "วันที่ 15 พฤศจิกายน เป็นวันนัดหยุดงานวันสุดท้าย ขอเชิญชาว กทม.ใครมีธุระที่ต้องออกจากบ้านวันศุกร์ให้รีบทำวันพฤหัสบดี เพราะวันศุกร์รถติดทั่งกรุงเทพฯ แน่นอน ท่านไปทำงานไม่สะดวกแน่ วิธีที่ดีที่สุด จอดรถไว้ที่บ้าน นั่งแท็กซี่มา ผมและเพื่อนขอซักซ้อม พรุ่งนี้กลางวันผมจะขอพื้นที่ถนน 3 ช่องจราจร ไม่มีแผงเหล็กมากั้น เปิดให้ริ้วขบวนเดินได้สะดวก หลัง 6 โมงเย็นเราจะปรึกษากันว่าเราจะจัดการอย่างไรกับยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร"
แดงชุมนุม18-20พ.ย.เมืองทองธานี             นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ว่า ขณะนี้วิกฤติต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ได้ขยายตัวไปเป็นเรื่องล้มรัฐบาล นปช.จึงเห็นว่าต้องเข้ามาแก้วิกฤติให้เป็นโอกาสที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลทำดีที่สุด และยอมถอยทุกทางแล้ว มีแต่พรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมจบ ทั้งนี้เห็นว่า ข้อเรียกร้องของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จะให้วันที่ 13-15 พฤศจิกายน เป็นวันหยุดงานและหยุดเรียนเพื่อมาชุมนุม เป็นการเหิมเกริมมาก และอยากเรียกร้องต่อผู้ใช้แรงงานว่ามีรัฐบาลไหนขึ้นค่าแรงให้ถึง 300 บาทบ้าง พรรคที่เรียกร้องเคยทำให้ความเป็นอยู่ของพวกท่านดีขึ้นหรือไม่ การลาออกของ 9 ส.ส. ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะมีการเลือกตั้งซ่อมใหม่ แต่พี่น้องโปรดจับตาดูว่าเขากำลังรอดูวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งมีปมศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคำร้องที่มา ส.ว.
             ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความหวังว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พฤศจิกายน จะทำให้การลาออกของ ส.ส.ไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ หากคนเสื้อแดงไม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน จะมีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอีกหลายคนเข้าไปสมทบกับม็อบ การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ทำให้กระแสสังคมลดลงมาก สำหรับการนัดชุมนุมใหญ่คาดว่าจะเป็นวันที่ 18-20 พฤศจิกายนนี้ ที่เมืองทองธานี และขอให้คนเสื้อแดงเตรียมตัว เพื่อมานั่งฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญพร้อมกัน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน

ย้อนรอย"คดีพระวิหาร"

ย้อนรอย"คดีพระวิหาร" ก่อนถึงวันพิพากษา

        คดีที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "คดีพระวิหาร" ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) กำหนดมีคำพิพากษาในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้นั้น มีที่มาจากการที่ทางการกัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 และขอให้ศาลโลกออกคำสั่งมาตรการชั่วคราว เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554
การขอตีความดังกล่าวนั้น ทางฝ่ายกัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาเดิมว่า คำพิพากษาเดิมดังกล่าวได้ตัดสินเรื่องเขตแดนไว้หรือไม่ ซึ่งกัมพูชาเห็นว่าศาลได้ตัดสินเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว โดยตัดสินให้เป็นไปตามแผนที่ "ภาคผนวก 1" ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าเป็น "แผนที่ประกอบในคำพิพากษา" เมื่อปี 2505 ดังกล่าว ในขณะที่ไทยยืนยันว่าเป็นเพียง "แผนที่ประกอบคำฟ้อง" ต่อศาลเท่านั้นเอง
เพื่อต่อสู้คดีดังกล่าวนี้ คณะทำงานที่ประกอบด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ นำโดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ได้กำหนดแนวทางเพื่อต่อสู้คดีไว้หลักๆ 4 ประการดังต่อไปนี้
1.ศาลไม่มีอำนาจในการตีความ เนื่องจากคู่กรณีไม่ได้มีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ฝ่ายไทยเห็นว่า คำพิพากษาเดิมดังกล่าวนั้นมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ในขณะเดียวกันทั้งไทยและกัมพูชา ต่างก็เห็นตรงกันในสารัตถะของคำพิพากษาดังกล่าวมาตลอดตั้งแต่ปี 2505 แต่ทางการกัมพูชาเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงท่าที ไม่เห็นด้วยขึ้นมาเมื่อปี 2550 นี่เอง เพราะต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ไทยเสนอหลายครั้งแล้วให้ขึ้นทะเบียนร่วมกัน
2.เมื่อคำพิพากษามีความชัดเจน และไทยซึ่งแม้จะไม่ยอมรับ แต่ก็ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ปี 2505 ไปครบถ้วนแล้วทุกประการ การปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวก็เป็นที่ยอมรับของฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน
ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ด้วยการถอนกำลังตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ออกจากปราสาทพระวิหาร และบริเวณใกล้เคียงปราสาท ตามขอบเขตซึ่งกำหนดโดยมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 ซึ่งเป็นขอบเขตที่สอดคล้องกับขอบเขตของพื้นที่พิพาทในคดีนี้แต่เดิมตามความเข้าใจทั้งของคู่ความและของศาล
3.คำขอให้ตีความของฝ่ายกัมพูชานั้น เป็นคำขอตีความในส่วนที่เป็น "เหตุผล" ประกอบคำพิพากษา ไม่ใช่ในส่วนที่เป็น "คำตัดสิน" โดยเป็นการขอให้ศาลตัดสินชี้ขาดในสิ่งที่ศาลเคยปฏิเสธที่จะตัดสินชี้ขาดไปแล้วอย่างชัดแจ้งในปี 2505 ซึ่งได้แก่เรื่อง "เส้นเขตแดน" และเรื่อง "สถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1"
ดังนั้น คำขอตีความของกัมพูชา จึงไม่ใช่เป็นคำขอตีความ แต่เป็นการอุทธรณ์คดีที่แฝงมาในรูปของการขอตีความ ซึ่งขัดกับธรรมนูญของศาลและขัดกับแนวคำพิพากษาของศาลในเรื่องของการตีความ
4.ฝ่ายไทยยืนยันว่า คำว่า "บริเวณใกล้เคียงปราสาท" ที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาปี 2505 นั้น เป็นคนละเรื่องกันกับคำว่า "ดินแดนกัมพูชา" ดังนั้น การกำหนดพื้นที่ "บริเวณใกล้เคียงปราสาท" ตามคำพิพากษาเดิม จึงไม่ใช่การกำหนดเส้นเขตแดน และขอบเขตของพื้นที่ "บริเวณใกล้เคียงปราสาท" ดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องมีขอบเขตเป็นเส้นเขตแดน
นอกจากนั้น ยังชี้ให้ศาลเห็นด้วยว่า แผนที่ซึ่งฝ่ายกัมพูชาใช้ในคดีเดิม เมื่อปี 2505 กับแผนที่ซึ่งนำมาใช้อ้างว่าเป็นแผนที่ในภาคผนวก 1 ในการตีความครั้งนี้ เป็นแผนที่คนละแผนที่กัน เป็นการเลือกหยิบเอามาใช้ตามอำเภอใจ
ความแตกต่างระหว่างแผนที่เดิมของฝ่ายกัมพูชากับการกำหนดขอบเขตพื้นที่ "ใกล้เคียงปราสาท" ของไทยนั้น แตกต่างกัน "เพียงไม่กี่เมตร" ตามความเห็นของฝ่ายกัมพูชาเอง แต่แผนที่ภาคผนวก 1 ที่นำมาอ้างใหม่ในศาลวันนี้ กลับมีพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไปมากถึง 4.5 ตารางกิโลเมตร
ด้วยเหตุผลตามข้อโต้แย้งดังกล่าวนี้ ฝ่ายไทยขอให้ศาลพิพากษาและชี้ขาดว่า
1.คำร้องขอให้ศาลตีความของฝ่ายกัมพูชานั้น ไม่เข้าเงื่อนไขที่ระบุไว้ และด้วยเหตุนี้ศาลจึงไม่มีอำนาจในการรับพิจารณาคำร้องดังกล่าว และไม่มีอำนาจที่จะตอบคำร้องดังกล่าวนั้น
2.ศาลไม่มีเหตุผลที่จะให้เป็นไปตามคำร้องขอของฝ่ายกัมพูชา และไม่มีเหตุผลที่จะตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505
3.ขอให้ศาลชี้ขาดอย่างเป็นทางการว่า คำพิพากษาเดิมในปี 2505 นั้น ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยเส้นเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา โดยมีผลผูกพันและไม่ได้กำหนดขอบเขตของบริเวณใกล้เคียงปราสาทเอาไว้ในคำพิพากษาดังกล่าว
ส่วนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่เป็นศาลสูงสุดของสหประชาชาติ จะพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร
คนไทยทั้งประเทศต่างเฝ้าติดตามกันในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้นั่นเอง...

ประวัติ หลวงปู่เณรคํา

ประวัติ หลวงปู่เณรคํา ฉัตติโก พระดังวัดป่าขันติธรรม






          ประวัติ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก แห่งวัดป่าขันติธรรม นั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว สวมแว่นตาดำราคาแพง ใช้ไอโฟน และถือกระเป๋าแบรนด์เนม จนทำให้ทุกคนต่างอยากรู้ ประวัติ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก 
          หลังจากที่ได้มีการนำเสนอข่าว หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ นั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว สวมแว่นตาดำราคาแพง ใช้ไอโฟน และถือกระเป๋าแบรนด์เนม แถมพระเณรที่ร่วมเดินทางไปด้วยนั้น ก็ล้วนแต่มีของใช้ราคาแพง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามมากมายในสังคมว่าการกระทำเช่นนี้ ถือว่าผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ และที่สำคัญ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก คือใครกันแน่
          และเพื่อให้ทุกคนได้คลายข้อสงสัย วันนี้ กระปุกดอทคอม ขอนำประวัติ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก พระชื่อดังแห่งวัดป่าขันติธรรม มาฝากกัน โดย หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม นอนในป่าช้า มาตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ และเมื่ออายุครบ 15 ปี หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้เดินทางจาริกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดป่าดอนธาตุ จ.อุบลราชธานี โดยได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนา ว่า "ฉัตติโก"  หลังจากนั้นก็ได้เดินทางมายัง วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ  หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก มีนามเดิมว่า "วิรพล สุขผล" เกิดที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 ทั้งนี้  หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้องทั้ง 5 คน ของนายรัตน์ สุขผล และนางสุดใจ สุขผล เมื่อ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "ฉัตติโก" หรือ "พระอาจารย์ วิรพล ฉัตติโก"
          สำหรับเส้นทางในการเข้าสู่ทางธรรมนั้น หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้เริ่มปฏิบัติตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งที่ยังอายุ 6 ขวบ ด้วยการปฏิบัติจิต บำเพ็ญภาวนากรรมฐานมาโดยตลอด และเมื่อถึงช่วงวันพระ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก จะหยุดเรียน และนุ่งขาวห่มขาวเข้าไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาในวัด ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ รวมทั้งยังเดินจงกรมสลับกับการนั่งภาวนาใต้ร่มไทร นอกจากนี้ ในช่วงกลางวัน หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก จะไปนอนในป่าช้า เพื่อฝึกจิตให้ตั้งมั่น ซึ่งผลจากการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เป็นเหมือนการบอกถึงความจริงในการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนว่า "แม้เราบำเพ็ญในชาตินี้หรือว่าชาติไหน ๆ ผลของการปฏิบัติบำเพ็ญนั้นมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่เสื่อมไปไหน"
          และในขณะที่ศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ก็คิดอยู่เสมอว่า "ถ้าเสร็จจากภารกิจทางโลกแล้ว เราจะไม่กลับมาทางโลกอีก เราคงเคยเกิดมาหลายชาติแล้ว เราคงพอแก่การเกิดได้แล้วในชาตินี้ เห็นอะไรก็เกิดความสลดสังเวชไปหมด จึงเป็นแนวทางทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้มาก่อน เห็นมาก่อน ตั้งแต่อดีตชาติ เหมือนกับเราจะได้ต่อเติมเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมการบำเพ็ญเพียรเพื่อให้ หลุดพ้น"
          ด้วยความคิดเช่นนั้น หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก จึงได้หมั่นปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น โดยหลังเลิกเรียนของทุก ๆ วัน หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ก็ได้ไปปักกลด นั่งบำเพ็ญภาวนาที่อยู่ที่กระต๊อบกลางน้ำ ที่ปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทุกวัน วันพระจะถือกลดไปโรงเรียนด้วย พอเลิกเรียนจะเข้าไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาที่วัด บางครั้งก็ไปปักกลดนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่กระต๊อบกลางน้ำที่ปลายนาของโยมพ่อโยมแม่ทั้งคืนจนสว่าง ปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตร
          จนกระทั่งเมื่อ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก อายุได้ 15 ปี ก็ได้ออกบวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 ที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมีท่านหลวงปู่โชติ อาภัคโค เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งหลังจากบรรพชา หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมธรรมะจากพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก อย่างนานัปการ